รองผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ เปิดงานกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติโรงเรียน กฟภ.สงเคราะห์ 2 ประจำปี 2568

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568 นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 พร้อมด้วยนายธรรมนูญ สุวรรณพฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการบริหารงาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคเหนือ) จังหวัดลพบุรี นายภาณุมาศ สังข์พยุง ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบูรณ์ (CEO) และคณะผู้บริหาร ณ อาคารอเนกประสงค์ กฟภ.เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงเรียน กฟภ.สงเคราะห์ 2 (บ้านพนานิคม) ตำบลบ้านโตก อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความสุขและส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชน โดยมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่มีความประพฤติดีและขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมถึงการแจกของขวัญมากมายให้กับเด็กๆ ที่มาร่วมงาน ซึ่งบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ในการเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการของ กฟภ.ที่ได้จัดทำโครงการ PEA วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 และได้ให้การสนับสนุนงบประมาณโรงเรียนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสงเคราะห์ 2 (บ้านพนานิคม) ในการจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติเป็นประจำทุกปี

นายกกชัย ฉายรัศมีกุล ได้กล่าวชื่นชมความร่วมมือของทุกฝ่ายในการจัดงาน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตของประเทศ โดยในปีนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้มอบคำขวัญวันเด็ก 2568 ให้กับเด็กๆ เยาวชนไทย เพื่อเป็นข้อคิด คติเตือนใจกับอนาคตของชาติว่า “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง“  ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งหวังที่จะให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรักความสามัคคี และตระหนักในหน้าที่ของตนเอง

จังหวัดเพชรบูรณ์ ออกประกาศ กําหนดเขตควบคุมไฟป่า และขอความร่วมมือห้ามเผาโดยเด็ดขาด ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์

นายศรัณยู มีทองคํา ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ด้วยปรากฏว่าในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้งของทุกปี มักจะมีการเผาและเกิดไฟป่าไฟไหม้ในที่โล่งขึ้นเป็นประจํา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ เอกชน พื้นที่สาธารณะ พื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า วนอุทยาน และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทําความเสียหายแก่ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าเป็นจํานวนมหาศาล รวมทั้งเกิดฝุ่นละออง หมอกควันทําให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการระดมกําลังเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ เครื่องใช้ และยานพาหนะ เข้าระงับดับไฟและยังมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนเป็นจํานวนมาก สาเหตุประการหนึ่ง เกิดจากการเก็บหา ของป่า ล่าสัตว์ เผาไร่ และกําจัดวัชพืช ในที่ดินทํากินของราษฎรที่อยู่ใกล้พื้นที่ป่า เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก โดยไม่มีการควบคุม ในที่สุดไฟก็ไหม้ลุกลามเข้าไปติดป่ากลายเป็นไฟป่า หรือเกิดความคึกคะนองจุดไฟเผาป่า

ดังนั้น เพื่อระงับป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากไฟป่าดังกล่าว อีกทั้งให้ราษฎรได้มีส่วนร่วม ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า อาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงกําหนดให้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็น “เขตควบคุมไฟป่า” และขอความร่วมมือห้ามเผาโดยเด็ดขาด และกําหนดมาตรการในการป้องกันไฟป่า ดังนี้ ภายในพื้นที่เขตควบคุมไฟป่าจังหวัดเพชรบูร

๑) ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนประชาสัมพันธ์สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ ตามความเหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นและของภาครัฐ อาทิ ภาครัฐ กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ชิงเก็บชิงเผาเศษวัสดุเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า และจัดทําแนวกันไฟ ภาคเอกชนและภาคประชาชน การไถกลบตอซัง นําเศษวัสดุเหลือใช้ด้านการเกษตร มาทําประโยชน์ในด้านต่างๆ และการจัดทําแนวกันไฟ ทั้งนี้ ในการดําเนินการดังกล่าว มิให้ไฟลุกลามเข้าไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่มีสภาพป่าตามธรรมชาติโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติแล้วไฟลุกลามเข้าไปยังพื้นที่ป่าไม้ ได้แก่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และวนอุทยาน มีโทษจําคุกและปรับตามกฎหมาย โดยให้หน่วยงานตามกฎหมายทีาเกี่ยวข้องดำเนินการตามอํานาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมาย

 ๒) ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘ รวม ๖๐ วัน ห้ามมิให้มี การเผาใดๆ ทั้งสิ้นโดยให้จัดเก็บเศษวัสดุและเชื้อเพลิงในพื้นที่นําไปใช้ประโยชน์เพื่อลดการเผา ยกเว้นการจัดทํา แนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟเป่า และการบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามหลักวิชาการ (ชิงเผา)ของหน่วยงานภาครัฐที่มี อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ปฏิบัติดังนี้

๒.๑) ห้ามเผาในพื้นที่โล่งเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่เอกชน(พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ชุมชน) พื้นที่ สาธารณะ (ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินตลิ่ง ที่ดินประเภทต่างๆ ที่ราชพัสดุ หรือที่ดินว่างเปล่าต่างๆ) พื้นที่ ข้างทางหรือถนน สำหรับพื้นที่เกษตรกรรมหากจำเป็นต้องมีการเผา ให้ดำเนินการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ผ่านทาง ระบบ Burn check ก่อนทุกครั้ง

๒.๒) ห้ามเผาเด็ดขาดในพื้นที่ป่าไม้ การจุดไฟเผาป่า หรือปล่อยให้ลุกลามเข้าไปยังพื้นที่ที่มีสภาพป่าตามธรรมชาติ ได้แก่ พื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ของสถานี ควบคุมไฟป่า พื้นที่ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พื้นที่ของวนอุทยาน และสวนรุกขชาติ

๓) การห้ามเผา หมายถึง การห้ามเผาป่า เผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เผาขยะ เผาวัชพืช ข้างทาง และการเผาในพื้นที่โล่งแจ้ง

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําผิด และแนวทางปฏิบัติ

๑. ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.๒๕๕๐ พระราชบัญญัติ การสาธารณสุข พ.ศ.๒๕๓๕ พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และข้อบัญญัติ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งที่ได้กําหนดไว้ โดยมีบทกําหนดโทษตามกฎหมายดังกล่าวกำหนด

๒.ตามความในมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องระวางโทษตามมาตรา ๗๒ ตรี จําคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ในกรณี บุคคลใดเผาป่าเนื้อที่เกิน ๒๕ ไร่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ ๒ ปี ถึง ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาท ถึง๑๐๐,๐๐๐ บาท

๓.ตามความในมาตรา ๑๔. แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องระวางโทษตามมาตรา ๓๑ จําคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถีง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในกรณีบุคคลใดเผาป่าเนื้อที่เกิน ๒๕ ไร่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ ๔ ปี ถึง ๒๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท

๔.ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๑๙(๑) ต้องระวางโทษตามมาตรา ๔๑ จำคุกตั้งแต่ ๔ ปี ถึง ๒๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ถึง๒,๐๐๐.๐๐๐ บาท หรือทั้งจ่าทั้งปรับ และกรณีความผิด “ได้กระทำในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ หรือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๒ ตามที่คณะรัฐมนตรี กําหนด หรือพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพผู้กระทําต้องระวางโทษหนักกว่า โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนี่ง”

๕. ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๕(๒) ต้องระวางโทษตามมาตราง ๙๙ จําคุกตั้งแต่ ๔ปี ถึง ๒๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ถึงง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีความผิด “ได้กระทําในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ หรือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีกําหนด หรือพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพ ผู้กระทําต้องระวาง โทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง”

๖.ในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๗ (๒) ต้องระวางโทษตามมาตรา ๑๐๓ จำคุกไม่เกิน ๗ปี หรือปรับไม่เกิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

๗.ให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา หากพบผู้กระทําความผิดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อดําเนินคดี ในที่โล่งและพื้นที่ป่าไม้ มีความผิดตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ฉบับแก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕ ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ที่ต้องประสบกับเหตุนั้นดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นเหตุรําคาญ (๔) การกระทําใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิด กลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้ เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อพบว่าบุคคลใดได้ก่อเหตุรําคาญขึ้น เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถออก คําสั่งให้ปรับปรุงแก้ไข หรือระงับเหตุรําคาญนั้น ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น จะมีโทษความผิด ตามมาตรา ๗๔. ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน ๓ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๒๕,๐๐๐ บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

๘. ในที่โล่งและพื้นที่ป่าไม้ มีความผิดตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๗ มาตรา ๙๙ ผู้ใดกระทําหรือละเว้นการกระทําด้วยประการใด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทำลายหรือทําให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนั้น

๙.ในที่โล่งและพื้นที่ป่าไม้ มีความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ ๑๔ มาตรา ๖๐ ประกอบกับมาตรา ๑๖ แห่ง พระราชบัญญัติกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติม ถึงฉบับที่ ๗ พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๖๗(๗)และมาตรา ๗๑ ในการนี้จะกําหนดค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บ เละกําหนดโทษปรับผู้ฝ่าฝืนด้วยก็ได้ แต่มิให้กําหนดโทษปรับเกิน ๑,๐๐๐ บาท เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัต ไว้เป็นอย่างอื่น

๑๐. ในที่โล่งและพื้นที่ป่าไม้ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๗ ผู้ใดวางเพลิงเผา ทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ ๖ เดือน ถึง ๗ ปี และปรับตั้งแต่ ๑,๐๐๐ บาท ถึง ๑๔,๐๐๐ บาท และมาตรา ๒๒๐ ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้จะเป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน ๗ ปี และปรับไม่เกิน ๑๔,๐๐๐ บาท และการกระทำความผิดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๑๘ (๑)- (๖) ผู้กระทําต้องระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๕ ปี ถึง ๒๐ ปี ๑๑. ในเขตควบคุมไฟป่าจังหวัดเพชรบูรณ์ ราษฎรต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการ ดับไฟป่า หากพบเห็นไฟไหม้ป่าบริเวณใด ให้รีบช่วยกันดับไฟเสียแต่ต้นเพื่อไม่ให้ไฟขยายออกเป็นวงกว้าง หากไฟป่ารุนแรงไม่สามารถดับได้ ให้รีบแจ้งหน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพื้นที่ หรือสถานีควบคุมไฟป่าในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด หรือฝ่ายปกครอง หรือหน่วยงานทหารในพื้นที่ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าระงับดับไฟป่าทันที

๑๒. หากพลเมืองดีพบเห็นไฟไหม้ป่า ไฟไหม้พื้นที่โล่งต่าง ๆ พื้นที่ริมทางหลวง หรือพื้นที่ริมทางหลวงท้องถิ่น ขอให้ช่วยดับไฟ และหากไม่สามารถดําเนินการได้ ขอให้แจ้งหน่วยงานควบคุมไฟป่าในพื้นที หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือโทรสายด่วนได้ที่ สายด่วนนิรภัย ๑๗๘๔ แจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย ๑๙๑ สายด่วนพิทักษ์ป่า ๑๓๖๒ สายด่วนทางหลวง ๑๕๘๖ และสายด่วนทางหลวงชนบท ๑๑๔๖ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง

๑๓. กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกํานัน ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ ให้ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสอดส่องดูแลให้ประชาชน ในท้องที่ปฏิบัติตามประกาศอย่างเข้มงวด จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

จังหวัดเพชรบูรณ์เตรียมจัดงานมะขามหวานนครบาลเพชรบูรณ์ ประจำปี 2568 อย่างยิ่งใหญ่

นายศรัณยู  มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กำหนดจัดงานมะขามหวาน นครบาลเพชรบูรณ์ ประจำปี 2568 ขึ้น ระหว่างวันที่ 25 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 52 ของการจัดงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพืชเศรษฐกิจอย่างมะขามหวาน ให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง บ่งบอกถึงความเป็นมาของเมืองนครบาลเพชรบูรณ์ เมื่อครั้งสมัย จอมพล.ป.พิบูลสงคราม ที่ครั้งหนึ่งจังหวัดเพชรบูรณ์ เกือบจะได้เป็นเมืองหลวงของไทย ส่งเสริมการจำหน่ายและหารายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการขายพืชผลทางการเกษตรของประชาชนชาวเพชรบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการปลูก การผลิตสินค้าแปรรูปจากมะขามชนิดต่างๆ ให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด

โดยในวันเปิดงาน วันที่ 25 มกราคม 2568 ช่วงเช้า เวลา 08.00 น.จะมีพิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพชรบูรณ์ เวลา 15.00 น.มีการจัดขบวนแห่รถบุปผชาติธิดามะขามหวาน ตกแต่งตามเอกลักษณ์ของแต่ละอำเภอที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ที่มีอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยขบวนได้เริ่มต้นจากหน้าบ้านพักปลัดจังหวัดเพชรบูรณ์ ถึงสี่แยกไปรษณีย์เก่า เลี้ยวผ่านหน้าวัดมหาธาตุ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรงไปสามแยกบูรพาแล้วเลี้ยวขวาตามถนนสระบุรี-หล่มสัก โดยรถเดินทางเดียวฝั่งขาเข้า ตรงไปและเลี้ยวขวาเข้าบริเวณเวทีกลางหน้าศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อร่วมพิธีเปิดงานในเวลาประมาณ 18.00 น.ซึ่งจากภายหลังพิธีเปิดจะมีการมอบรางวัลให้ผู้ชนะเลิศการประกวดธิดามะขามหวาน และรถบุปผชาติ และชมการแสดงชุดต่าง ๆ

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมทั้งด้านวัฒนธรรมประเพณี ศิลปะการแสดงที่เน้นวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้ง 11 อำเภอของจังหวัด และที่สำคัญภายในงานยังมีการจัดตลาดนัดมะขามหวานมีเกษตรกรผู้ปลูกมะขามหวานจากทั่วจังหวัดเพชรบูรณ์ มาออกร้านจำหน่ายมะขามหวานหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ พันธุ์ประกายทอง พันธุ์สีทอง พันธุ์ศรีชมภู พันธุ์ขันตี พันธุ์ประกายเพชร เป็นต้น โดยในปีนี้ สวนมะขามหวานในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ หลายสวนนำผลผลิตมาออกตลาดนัดมะขามหวานกว่า 100 ล็อค ร้านจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร กิ่งพันธุ์ไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ จำนวน 169 ล็อค การแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ otop โซนอนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน โซนของดีจังหวัดเพชรบูรณ์ โซนอาหารถิ่น อาหารชวนชิม กว่า 40 บูธ การเดินแบบผ้าไทย การประกวดนางสาวนครบาลเพชรบูรณ์ การจัดนิทรรศการเพชรบูรณ์พอเพียง กิจกรรมลานวัฒนธรรมสร้างสุข เพชรบูรณ์พาโชค การแสดงศิลปวัฒนธรรม และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการประกวดมะขามหวานชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันทุกค่ำคืน

ผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ มอบนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และจังหวัด แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ในพื้นที่อำเภอชนแดน

         วันที่ 7 มกราคม  2568 เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอชนแดน  จังหวัดเพชรบูรณ์ เพชรบูรณ์ นายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ มอบนโยบายสำคัญ ของรัฐบาลกระทรวงมหาดไทย และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้แก่ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่อำเภอชนแดน โดยมี นายนาวิน สังฆมาตร นายอำเภอชนแดน  กล่าวรายงานสถานการณ์ สภาพพื้นที่ และปัญหาของอำเภอชนแดน  พร้อมด้วย นายสืบพงษ์ นิ่มพูลสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์  หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

         โดย นายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้มอบนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องของการจัดระเบียบสังคม เรื่องของการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน การดูแลพี่น้องประชาชนให้มีน้ำสะอาดใช้อย่างทั่วถึง พร้อมมอบแนวทางการทำงานในพื้นที่ ที่สำคัญประกอบด้วย เรื่องการปกป้องเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โครงการในพระราชดำริในพื้นที่ต้องให้ความสำคัญ เรื่องการประสานภาคีเครือข่ายเข้ามาร่วมทำงาน การใช้กระบวนการประชาธิปไตย การทำงานให้ยึดประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก งานบริการทุกส่วนราชการ ให้อำนวยความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย การสื่อสารการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ต้องประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ให้ประชาชนรับทราบเข้าใจในภารกิจของทางราชการ ทิศทางการพัฒนาจังหวัด อำเภอ และ การทำงาน ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้

       เวลา 13.30 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมคณะ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมกลุ่มอาชีพแปรรูปมาขามหวาน ในอำเภอชนแดน ติดตามการดำเนินงานและรับทราบปัญหา เพื่อนำไปพัฒนา สินค้าและผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นไป  พร้อมเข้าชมต้นมะขามหวานพันธุ์ประกายทองต้นแรก    ที่หมู่ 8  ตำบลโป่งตาเบ้า อำเภอชนแดน  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดมะขามหวานพันธุ์ประกายทอง ที่สามารถสร้างรายได้ให้ชาวเพชรบูรณ์นับพันล้านบาท   มะขามหวานพันธุ์ประกายทอง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  พันธุ์ตาแป๊ะ  มีลักษณะฝักยาวใหญ่ค่อนข้างตรง  เปลือกฝักบาง ผิวเรียบเป็นสีน้ำตาล เนื้อเป็นสีน้ำผึ้งออกทรายแดง และมีรสหอมหวานเป็นมะขามหวานที่ผู้บริโภคนิยมรับประทาน    จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมคณะ เข้าตรวจเยี่ยม การดำเนินงาน   โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโป่งตะแบก   ตำบลพุทธบาท อำเภอชนแดน  ซึ่งเป็นโรงเรียนสังกัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  ให้การศึกษาแก่เยาวชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกลการคมนาคม จัดตั้งอย่างเป็นทางการวันที่ 1 พฤษภาคม 2520 เปิดทำการสอนระดับก่อนประถม ถึงระดับประถมศึกษา โดยโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ทรงสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  ทรงอุปถัมภ์ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และพระราชทานโครงการพระราชดำริในโรงเรียน

อำเภอชนแดน จัดงาน “ถวายบายศรี ร้อยมาลัย รวมน้ำใจ ถวายหลวงพ่อทบ” ประจำปี 2568

7 มกราคม 2568 เวลา 18.00 น. นายศรัณยู  มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์  เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ถวายบายศรี ร้อยมาลัย รวมน้ำใจ ถวายหลวงพ่อทบ” ประจำปี 2568 โดยมีนายนาวิน สังฆมาตร นายอำเภอชนแดน หัวหน้าส่วนราชการ ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ชมรมผู้บริหารท้องถิ่น และคณะกรรมการวัดพระพุทธบาทชนแดน ร่วมพิธี โดยกำหนดจัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 9 มกราคม 2568  ณ.วัดพระพุทธบาทชนแดน ตำบลชนแดน  อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อส่งเสริมการศึกษาและรักษาประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมอันดีงาม โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ศึกษาประวัติและนมัสการหลวงพ่อทบ อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวอำเภอชนแดน และประชาชนทั่วไป  และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้สักการะบูชาหลวงพ่อทบองค์ใหญ่ เป็นศูนย์รวมและ    ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวอำเภอชนแดนให้ต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป

ประวัติหลวงพ่อทบ

หลวงพ่อทบ  ธัมมปัญโญ (พระครูวิชิตพัชราจารย์)  เทพเจ้าแห่งความเมตตา มีพลังจิตแก่กล้าเหลือธรรมชาติวัดพระพุทธบาทชนแดน อ.ชนแดน  จ.เพชรบูรณ์

หลวงพ่อทบ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2424 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ที่บ้านยางหัวลม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่ออายุได้ 16 ปี ตรงกับปี พ.ศ. 2440 ได้ทำพิธีบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดช้างเผือก บ้านยางหัวลม โดยมีพระอาจารย์สี เป็นพระอุปัชฌาย์ เรียนหนังสือขอมและไสยเวทวิทยาคมกับพระอาจารย์สีจนมีความรู้แตกฉาน พออายุครบ 21 ปี ท่านได้เข้าทำพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ วัดเกาะแก้ว ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีพระครูเมืองเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า ธัมมปัญโญ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดช้างเผือก และศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมจากพระอาจารย์สี พระอาจารย์ปาน และหลวงทศบรรณ ซึ่งเป็นฆราวาสผู้มีอาคมแก่กล้าอยู่ในขณะนั้นและศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากพระครูเมือง จนเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านสามารถนั่งวิปัสสนาได้หลายวันโดยไม่ฉันอาหารเลย

หลวงพ่อท่านเป็นพระนักพัฒนา สร้างเสนะโบสถ์วิหารให้แก่วัดต่างๆ มากมายในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับแต่งตั่งให้เป็น เจ้าคณะอำเภอชนแดน ก่อนกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย อำเภอชนแดน ก่อนกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเผือกและมรณภาพที่วัดนี้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2519 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 9 รวมสิริอายุได้ 95 ปี 74 พรรษา ศิษยานุศิษย์และบรรดาผู้เคารพนับถือท่านได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้วเพื่อสักการบูชาตลอดไป

วัดพระพุทธบาทชนแดน (หลวงพ่อทบ) วัดพระพุทธบาทชนแดน ตั้งอยู่เลขที่ 99 บ้านชนแดน เดิมชื่อ บ้านเขาน้อย ต.ชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินสร้างวัด 47 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือติดต่อกับหมู่บ้าน ทิศใต้ยาว 4 เส้น ติดต่อกับถนนใหญ่ ชมฐีระเวช ทิศตะวันออกยาว 5 เส้น ติดกับลำคลอง ทิศตะวันออกยาว 5 เส้น ติดกับลำคลอง ทิศตะวันตกยาว 2 เส้น ติดต่อกับถนนสายวังโป่ง ซึ่งที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 1361 เป็นหลักฐาน กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งเป็นวัด นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2515 ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดเขาน้อย” เพราะตั้งอยู่ที่เขาน้อย ระยะเริ่มแรกสร้างวัดเรียกว่า ” วัดพระพุทธบาทเขาน้อย” โดยมีนายปั้น ก้อนพล บริจาคที่ดินให้สร้างวัดซึ่งได้มอบถวายแก่หลวงพ่อทบ เกจิอาจารย์ในภูมิภาคนี้ การสร้างวัดได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2590 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2517 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ได้ผูกพัทธสีมาเพื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2517

วัดบ้านไร่จัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นสร้างบารมี มวลสารเกจิอาจารย์ คับคั่ง เพื่อจัดหารายได้สมทบทุนในการสร้างหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

วันที่ 6 มกราคม 2568 นายสนอง หวังหยิบกลาง ประธานกรรมการบริหาร โครงการวัดบ้านไร่สร้างหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ องค์ใหญ่ และไวยาวัจกร วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เผยว่า การสร้างหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดหน้าตักกว้าง 16 เมตร สูง 24.9 เมตร ในการจัดสร้างกำหนดทั้งหมด 12 วาระ ในการหล่อชิ้นส่วน ต้องการสมทบทุนในก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ตามกำหนดการ จึงต้องมีการจัดสร้างวัตถุมงคล เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้บูชา และระลึกถึงหลวงพ่อคูณปริสุทโธแห่งวัดบ้านไร่  ทางคณะกรรมการฯ จึงได้มีโครงการจัดสร้าง วัตถุมงคล รุ่นสร้างบารมี 2567 เพื่อหารายได้สมทบทุนในการก่อสร้าง โครงการ สร้างหลวงพ่อคูณปริสุทโธ องค์ใหญ่ โดยมีมวลสารของของเกจิอาจารย์ระดับประเทศ อาทิ  พระอาจารย์ต้อม วัดท่าสะแบง จ.ร้อยเอ็ด, หลวงปู่ศิลา จังหวัดกาฬสินธุ์ , พระอาจารย์สุริยันต์ วัดป่าวังน้ำเย็น , หลวงพ่อทองวัดบ้านไร่ , ครูบาอริยชาติ วัดแสงแก้วโพธิญาณจังหวัดเชียงราย และยังมีหลายเกจิอาจารย์ร่วมรายการพุทธาภิเษกรายการนี้

โดยเหรียญวัตถุมงคลรุ่นสร้างบารมี 2567 นี้ มีการจัดสร้างอาทิเช่น เหรียญทองคำจัดสร้างตามจำนวนจอง , เหรียญทองคำลงยาแดง จัดสร้างตามจำนวนจอง , เหรียญเงิน จัดสร้างจำนวน 4,999 เหรียญ , เหรียญเงินหน้ากากทองคำ จัดสร้างจำนวน 1,999 เหรียญ , เหรียญ 3 กษัตริย์ จัดสร้างจำนวน 1,999 เหรียญ , เหรียญกะไหล่ทอง จัดสร้างจำนวน 2,999 เหรียญ , เหรียญกะไหล่เงิน จัดสร้างจำนวน 2,999 เหรียญ , เหรียญนวะ จัดสร้างจำนวน 9,999 เหรียญ , เหรียญทองแดงผิวไฟ จัดสร้างจำนวน 29,999 เหรียญ , เหรียญทองแดงรมควัน จัดสร้างจำนวน 29,999 เหรียญ , นอกจากนี้ยังมีชุดทองคำพิเศษ 5 เหรียญ จัดสร้างตามจำนวนจอง , ชุดกรรมการ 3 เหรียญ , ชุดกรรมการอุปถัมภ์ 5 เหรียญสร้างจำนวน 59 ชุด  , ชุดพิเศษ 5 เหรียญสร้างจำนวน 599 ชุด , ล็อกเก็ตติดจีวร ว่าน 108 ฝัง ตะกรุดเงินตะกรุดทอง , และพระบูชารูปหล่อทองคำ ขนาดหน้าตัก 1.3 นิ้ว น้ำหนักทอง 9 บาท 2 สลึง , พระบูชารูปหล่อทองเหลือง มีขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว 7 นิ้ว และ 5 นิ้ว สำหรับพุทธศาสนิกชน หากสนใจวัตถุมงคลสามารถติดต่อประธานกรรมการบริหารโครงการ/ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ โทร 065-194-4449 , 064-394-4449 หรือสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ facebook วัดบ้านไร่

ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดแสงสิงแก้วโพธิญาณ อำเภอแม่สลวย จังหวัดเชียงราย เผยว่า ขอเชิญชวนประชาชนที่มีความศรัทธา พระเดชพระคุณหลวงพ่อคูณปริสุทโธ เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง ที่ผ่านมาหลวงพ่อก็ทำคุณูปการให้บังเกิดแก่พระพุทธศาสนาจนเป็นที่ประจักษ์หลายด้านจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ และทางวัดได้มีการจัดตั้งหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่หน้าตัก 16 เมตรตรง 24.9 เมตร เพื่อเป็นสังคานุสติ เพื่อให้ได้ระลึกถึง ต่อพระพุทธศาสนา หลวงพ่อคูณคือต้นแบบของพระสงฆ์ เป็นผู้ให้ ตอนนี้ทางวัดบ้านไร่ก็มีการจัดสร้างเหรียญ รุ่นสร้างบารมี 2567 ซึ่งได้ผ่านการพุทธาภิเษก จำนวนหลายวาระ ใครอยากร่วมบุญกับทางวัดบ้านไร่ โดยการเช่าบูชา เพื่อนำเงินปัจจัยไปเป็นทุนบูรณะปฏิสังขรณ์ และก็สร้างองค์หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลกประดิษฐาน ณ วัดบ้านไร่

ณัฐพงศ์ อรชร/ข่าวนครราชสีมา

จังหวัดเพชรบูรณ์ปิดศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2568

วันที่ 6 มกราคม 2568 เวลา 09.30 น. นายศรัณยู  มีทองคำ  ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์  เป็นประธานประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน  ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.  2568  จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมี นายธงชัย เสนาะศรีตระกูล หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม  ที่ห้องภูทับเบิก อาคาร 1 ชั้น 5  ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์

สำหรับผลการดำเนินงาน  ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568  ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568 จังหวัดเพชรบูรณ์ มีการตั้งด่านหลัก/ด่านรอง 139 จุด ด่านชุมชน จำนวน 1,262 จุด มีการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเป็นการป้องปรามและดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายจราจรอย่างเข้มข้นและจริงจัง มีการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย ในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน สำหรับผู้ที่ประสบเหตุ ให้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดทุกราย มีการบริหารการจราจร การปิดจุดกลับรถ และเปิดช่องทางพิเศษในช่วงปริมาณการจราจรหนาแน่น มีการประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน ได้เห็นความสำคัญของการป้องกันและ ลดอุบัติเหตุทางถนน   มีผลการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน  สะสม  10 วัน  เกิดอุบัติเหตุทางถนน 28 ครั้ง  มีผู้บาดเจ็บ 33 ราย และมี ผู้เสียชีวิต 3 ราย มีการกวดขันจับกุมตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก ประกอบ  ไม่สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย เมาสุรา ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่มีใบขับขี่ ความเร็วเกินกำหนด  ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ขับรถย้อนศร แซงในที่คับขัน และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ มียานพาหนะถูกเรียกตรวจ จำนวน 29,388 คัน มีผู้กระทำผิดมาตรการหลัก 10 มาตรการ จำนวน 6,342 ราย   พฤติกรรมเสี่ยงส่วนใหญ่ในการเกิดอุบัติเหตุ คือ ไม่สวมหมวกนิรภัย  และ รถจักรยานยนต์ เป็นยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด

โอกาสนี้ นายศรัณยู  มีทองคำ  ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กล่าว ปิดศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2568  พร้อมขอบคุณส่วนราชการและองค์กรทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นอย่างดี และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร ผู้ปฏิบัติงานประจำด่านตรวจหลัก จุดบริการ ด่านชุมชนทุกคน ตลอดจนภาคเอกชนที่สนับสนุนน้ำดื่ม เครื่องดื่มต่างๆ ในการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 

อำเภอชนแดนขอเชิญร่วมพิธีเปิดงาน “ถวายบายศรีร้อยมาลัย รวมน้ำใจถวายหลวงพ่อทบ” ประจำปี ๒๕๖๘

นายนาวิน สังฆมาตร นายอำเภอชนแดน แจ้งว่า ด้วยอำเภอชนแดนร่วมกับวัดพระพุทธบาทชนแดน ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ชมรมผู้บริหารท้องถิ่น และคณะกรรมการวัดพระพุทธบาทชนแดน กำหนดจัดงาน ” ถวายบายศรีร้อยมาลัย รวมน้ำใจถวายหลวงพ่อทบ” ประจำปี ๒๕๖๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกคุณานุปการของหลวงพ่อทบ ที่มีต่อ

ชาวอำเภอขนแดน โดยกำหนดการจัดงานในระหว่างวันที่ ๗ – ๙ มกราคม ๒๕๖๘ ณ วัดพระพุทธบาทชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ชาวอำเภอชนแดน จึงขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นในพิธีเปิดงาน

และถวายบายศรี เนื่องในงาน “ถวายบายศรีร้อยมาลัย รวมน้ำใจถวายหลวงพ่อทบ” ประจำปี ๒๕๖๘ ในวันอังคารที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๘.๐๐ น. ณ วัดพระพุทธบาทชนแดน อำเภอขนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์

ประกาศผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์

เรื่อง ชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์

1. อำเภอเมืองเพชรบูรณ์

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2       เขตเลือกตั้งที่ 3      

เขตเลือกตั้งที่ 4       เขตเลือกตั้งที่ 5       เขตเลือกตั้งที่ 6

2. อำเภอชนแดน

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2 

3. อำเภอหล่มสัก

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2       เขตเลือกตั้งที่ 3      

เขตเลือกตั้งที่ 4       เขตเลือกตั้งที่ 5

4. อำเภอหล่มเก่า

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2

5. อำเภอวิเชียรบุรี

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2       เขตเลือกตั้งที่ 3      

เขตเลือกตั้งที่ 4

6. อำเภอศรีเทพ

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2

7. อำเภอหนองไผ่

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2       เขตเลือกตั้งที่ 3      

เขตเลือกตั้งที่ 4

8. อำเภอบึงสามพัน

เขตเลือกตั้งที่ 1       เขตเลือกตั้งที่ 2

9. อำเภอน้ำหนาว

เขตเลือกตั้งที่ 1

10. อำเภอวังโป่ง

เขตเลือกตั้งที่ 1

11. อำเภอเขาค้อ

เขตเลือกตั้งที่ 1

เพชรบูรณ์ บุญใหญ่ผู้เสียชีวิต 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นพระสงฆ์ บริจาคกระจกตาช่วยผู้อื่นได้มองเห็นอีก 4 คน

4032,3024,0,0.45,-1

วันที่ 5 ม.ค.2568 นางชไมพร สีทอง พยาบาลวิชาชีพ หัวหน้าศูนย์บริจาคอวัยวะ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่าศูนย์บริจาคอวัยวะได้รับบริจาคอวัยวะ(กระจกตา)จากคนไข้ที่เสียถึง 2 ราย โดยเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ 1 ราย และเป็นพระภิกษุ 1 ราย สามารถนำไปช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้กลับมามองเห็นได้อีกครั้งถึง 4 ราย ศูนย์บริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย จึงได้มอบเกียรติบัตรและหรีดเคารพศพ โดยมีพว.ปัญจนา พรายอินทร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลเพชรบูรณ์เป็นตัวแทนมอบและญาติของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายเป็นตัวแทนรับมอบ

นางชไมพร สีทอง รายแรกคือพระคำส่าน ฟองจ้อน อายุ 72 ปี จำพรรษาอยู่ที่วัดกลางน้ำร้อน ต.น้ำร้อน อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เข้ามารักษาด้วยอาการเลือดออกในสมอง แต่ญาติไม่ประสงค์ที่จะรักษาด้วยการผ่าตัดเนื่องจากเสี่ยงต่อการเป็นเจ้าชายนิทรา แพทย์จึงได้ดูแลรักษาตามอาการอย่างเต็มความสามารถ กระทั่งได้มรณภาพในช่วงเย็นของวันที่ 4 ม.ค.2568 พยาบาลจึงได้แจ้งถึงโครงการบริจาคอวัยวะ(กระจกตา) ถึงแม้จะมรณภาพแล้วก็สามารถบริจาคได้ ญาติจึงตกลงบริจาคกระจกตกทั้ง 2 ข้าง นำไปช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มองเห็นได้ 2 คน

รายที่สองชื่อนายบวรศักดิ์ ภูธา อายุ 50 ปี ชาว อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์ส่งเสริมวนป่าชุมชนที่ 13 น้ำหนาว กรมป่าไม้  โดยคนไข้ถูกส่งต่อมาจากโรงพยาบาลน้ำหนาว ด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง แพทย์ได้ทำการรักษาอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากเลือดออกในสมองเป็นจำนวนมากจึงไม่อาจช่วยชีวิตไว้ได้ ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข้าไปพูดถึงโครงการบริจาคอวัยวะเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งญาติก็ยินดีที่จะบริจาคอวัยวะทุกส่วนที่จะสามารถนำไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่างจึงสามารถบริจาคได้เพียงกระจกตา 2 ข้าง แต่ก็ยังสามารถนำไปช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มองเห็นได้อีกถึง 2 คน

ด้านนายภาคิน ฟองจ้อน บุตรชายของพระคำส่าน ฟองจ้อน เปิดเผยว่าหลวงพ่อได้บวชเป็นพระมาประมาณ 10 พรรษาแล้ว แต่ก็มีโรคประจำตัวตามภาวะของผู้สูงอายุ กระทั่งช่วงเดือนธันวาคม 2567 มีอาการหน้ามืดจึงได้นำส่งโรงพยาบาลเพชรบูรณ์และพบว่ามีเลือดออกในสมอง ถ้าจะรักษาก็ต้องทำการผ่าตัด ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นเจ้าชายนิทรา จึงขอให้แพทย์ดูแลรักษาตามอาการ จนกระทั่งมรณภาพเมื่อวานนี้ ซึ่งหลังจากมรณภาพแล้วได้มีพยาบาลเข้ามาพูดคุยถึงเรื่องการบริจาคอวัยวะ ถึงแม้หลวงพ่อจะมรณภาพแล้วแต่ก็สามารถบริจาคกระจกตาเพื่อนำไปช่วยผู้อื่นได้มองเห็นได้อีกถึง 2 คน ตนเห็นว่าร่างกายนำไปเผาไฟก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งสามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นได้ตนก็ยินดี รวมทั้งได้เป็นการทำบุญครั้งใหญ่ให้แก่หลวงพ่อด้วย

ด้าน น.ส.นริศรา ศิริพันธ์ ภรรยาของนายบวรศักดิ์ ภูธา เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้สามีของตนทำงานอยู่ที่ศูนย์ส่งเสริมวนป่าชุมชนที่จังหวัดศรีสะเกษ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่อำเภอน้ำหนาวได้ไม่กี่เดือน ซึ่งสามีมีโรคประจำตัวคือโรคลมชัก ในวันเกิดเหตุสามีกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ไปทำงานคาดว่าอาการลมชักน่าจะกำเริบจึงได้ล้มลงศีรษะฟาดกับฟื้น เพื่อนร่วมงานได้นำตัวส่งโรงพยาบาลน้ำหนาว และส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ แพทย์ได้ดูแลรักษาอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากมีเลือดออกในสมองจำนวนมากจึงได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข้ามาพูดคุยถึงการบริจาคอวัยวะ ซึ่งตนก็ยินดีที่จะบริจาคอวัยวะของสามีทุกอย่างที่จะสามารถนำไปช่วยชีวิตผู้อื่นได้ แต่ก็สามารถบริจาคได้เพียงกระจกตา 2 ข้าง ซึ่งก็สามารถนำไปช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มองเห็นได้ถึง 2 ราย ซึ่งตนเชื่อว่าการบริจาคอวัยวะในครั้งนี้ผลบุญจะส่งผลให้สามีไปสู่ภพภูมิที่ดี